หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Digital Transformation เป็นไปได้คือ Work Efficiency โดยสิ่งที่จะผลักดันให้พนักงานทำงานกันอย่าง Productive คือ Work Culture ในที่ทำงาน เพราะสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศในที่ทำงานนั้น เป็นสิ่งที่พนักงานต้องใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน มันจึงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละคน
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้กระบวนการ Digital Transformation เป็นไปได้คือ Work Efficiency หรือประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรในองค์กร ที่แต่เดิมนั้นเกิดจากการแบ่งงานและแผนกที่ต้องดูแลรับผิดชอบอย่างชัดเจน รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อม อย่างการแบ่งโซนทำงานด้วยโต๊ะพาร์ทิชัน แยกแต่ละแผนกออกเป็นสัดส่วน มาเป็นการทำงานที่เน้นการ Collaboration ร่วมมือกันระหว่างแผนก และการ Brainstorm กันในหมู่พนักงานเพื่อหา Solution หรือสร้าง Product ใหม่ๆ มาตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ตรงจุดและแปลกใหม่ขึ้น
ซึ่งถ้าถามว่าอะไรที่จะทำให้การทำงานเช่นนั้นเกิดขึ้นได้ นอกจากตัวบุคลากรที่ต้องมีความรู้กว้างขวางขึ้น มี Mindset ในการทำงานเชิงรุกมากขึ้นแล้ว สิ่งที่จะผลักดันให้พนักงานทำงานกันอย่าง Productive ก็คือ Work Culture และสภาพแวดล้อมในที่ทำงานนั่นเอง
หลายคนอาจเคยเห็นการจัดที่ทำงานแบบ Collaboration เช่น ที่นั่งทำงาน Open-plan Environment คล้าย Co-working Space หรือที่นั่งเก้าอี้สตูลแบบบาร์เครื่องดื่ม การจัดที่นั่งทำงานแบบนี้ไม่ได้มีเพื่อความสวยงามหรือเก๋ไก๋ของออฟฟิศเพียงอย่างเดียว แต่การไม่มีที่นั่งประจำ ทำให้พนักงานต่างแผนกมีโอกาสพบเจอกันมากขึ้น ไม่คลุกคลีสนิทสนมกันแค่ในแผนกเดียวกันเหมือนออฟฟิศแบบ Traditional นั่นทำให้การร่วมกันคิดงานระหว่างแผนกเกิดได้ง่ายขึ้น และเมื่อคนที่มีความรู้ความถนัดต่างกันไปได้มาคลุกคลีกัน ชิ้นงานใหม่ๆ ที่มีแนวคิดน่าสนใจก็จะเกิดขึ้น
หรืออีกไอเดียที่ออฟฟิศในยุคนี้เริ่มใช้กันมากขึ้นคือการทำงานทางไกล หรือที่เรียกว่า Remote Working ซึ่งใช้ระบบเน็ตเวิร์กเข้าช่วยให้การทำงานนั้นไม่จำเป็นต้องนั่งจับเจ่าอยู่ที่ออฟฟิศเสมอไป แต่สามารถทำงาน คุยงาน หรือแม้แต่สานต่องานจากเพื่อนร่วมงานได้จากที่ไหนบนโลกก็ได้ สิ่งนี้ทำให้การทำงานเป็นเรื่องไม่น่าเบื่อ การสร้างชิ้นงานไม่ยึดติดอยู่กับสถานที่มากจนเกินไปกว่าพลังความคิดและพลังสร้างสรรค์ของพนักงาน หลายบริษัทถึงกับมีกฎ “วันทำงานข้างนอก” ขึ้นมา เพื่อให้พนักงานได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน ไม่ต้องอึดอัดอยู่ในห้องออฟฟิศอย่างเดียว
กระทั่งบริษัทเน็ตเวิร์กระดับโลกสาขาประเทศไทยอย่าง Cisco System (Thailand) Limited ก็จัดบรรยากาศที่ทำงานให้เอื้อต่อการสร้างสรรค์งานเช่นกัน ทั้งการไม่มีโต๊ะทำงานประจำ โซนทำงานแบบ Collaboration ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ให้ทุกคนเข้ามาใช้ทำงานได้ ผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน หากพนักงานคนใดต้องการสมาธิทำงาน ที่นี่ก็ยังมี Quiet Room หรือห้องเงียบ ให้ใช้งานตรงกับความต้องการเช่นกัน และในขณะเดียวกัน ห้องประชุมก็ยังมีระบบเน็ตเวิร์กที่เอื้อให้ทำงานนอกสถานที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยหน้าจอวิดีโอพร้อมกับแอปฯ Webex ที่สามารถเชื่อมต่อทีมงานจากต่างสถานที่เข้ามาร่วมคุยงานในห้องเดียวกันได้เสมือนว่านั่งอยู่ด้วยกัน
จะเห็นได้ว่าการจะทำ Digital Transformation ต้องการพลังการทำงานจากบุคลากรในองค์กรเป็นอย่างมาก และหนึ่งในเรื่องที่ผลักดันให้พนักงานระเบิดพลังสร้างสรรค์ออกมา นั่นคือสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศในการทำงานนั่นเอง อย่าเห็นว่าเรื่องการตกแต่งหรือจัดสถานที่ทำงานเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะมันคือบรรยากาศที่เราและพนักงานต้องใช้ชีวิตด้วยอยู่ทุกวัน และนั่นส่งผลต่อความประสิทธิภาพในการทำงานของทุกคนอย่างแน่นอน
หลักใหญ่ของการใช้ข้อมูลไม่ได้อยู่ที่ขนาด แต่อยู่ที่ความจำเป็น นั่นทำให้เราต้องมี Relevant Data หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เพราะ Relevant Data ก็เหมือนน้ำมันที่ขับเคลื่อนให้องค์กรแล่นไปบนเส้นทาง Digital Transformation ได้จริงและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Data ที่ใช่และเป็นประโยชน์ตรงจุด
กระบวนการทำ Digital Transformation สิ่งแรกที่ควรมีคือ Digital Mindset ที่ไม่ยึดติดกับ Business Model เดิม แล้วค่อยมองไปที่ Customer Experience โดยก่อนการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องเริ่มต้นจากวางกลยุทธ์ทาง Digital ให้กับองค์กรด้วย เพราะหากขาดกลยุทธ์ อาจกลายเป็นแค่การเปลี่ยนระบบทำงานซึ่งเกิดประโยชน์น้อย
Digital Transformation ไม่ได้โฟกัสที่ Technology เท่ากับตัวคนในองค์กร เพราะ Technology วันหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนผ่าน แต่บุคลากรที่มีค่าจะทำให้มันเป็นไปได้ด้วยดี โดยบุคลากรต้องเข้าใจภาพรวม รู้กว้าง เข้าใจ Technology งาน องค์กร และที่สำคัญคือเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค อันเป็นหัวใจสำคัญที่สุด
Digital Transformation เริ่มต้นที่การมีคนทำงานที่พร้อมต่อวิถีการทำงานแบบใหม่ๆ แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องพร้อมคืออุปกรณ์ Technology และระบบต่างๆ การเลือกใช้ Technology ต้องตรงกับรูปแบบการทำงานและความเหมาะสมกับธุรกิจ มิฉะนั้นอาจไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น แต่จะกลายเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า